วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มหาสมัยสูตร (แปล)

พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค - ๗. มหาสมัยสูตร
[พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน]


ข้าพเจ้า (พระอานนท์) ได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกะ ชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วน เป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดาจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนา พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ฯ
ครั้งนั้น เทวดาชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ ได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาค พระองค์นี้แล ประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวก เทวดาจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาคและภิกษุ สงฆ์ ไฉนหนอ แม้พวกเราก็ควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว พึงกล่าวคาถาเฉพาะองค์ละคาถา ในสำนักพระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น เทวดา พวกนั้น หายไป ณ เทวโลกชั้นสุทธาวาสแล้วมาปรากฏเบื้องพระพักตร์พระผู้ มี พระภาค เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออก หรือคู้แขนที่เหยียดออกเข้า ฉะนั้น เทวดาพวกนั้นถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง เทวดาองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า
การประชุมใหญ่ในป่าใหญ่ หมู่เทวดามาประชุมกันแล้ว พวกเราพากันมาสู่ธรรมสมัยนี้ เพื่อได้เห็นหมู่ท่านผู้ชนะมาร ฯ
ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มี พระภาคว่าภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้น มั่นคง กระทำจิตของตนๆ ให้ ตรง บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมรักษาอินทรีย์ เหมือนสารถีถือบังเหียนขับม้า ฉะนั้น ฯ
ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนัก พระผู้มีพระภาคว่า ภิกษุเหล่านั้น ตัดกิเลสดุจตะปู ตัดกิเลสดุจลิ่มสลัก ถอน กิเลสดุจเสาเขื่อนได้แล้ว เป็นผู้ไม่หวั่นไหว หมดจด ปราศ จากมลทิน เที่ยวไป ท่านเป็นหมู่นาคหนุ่ม อันพระผู้มีพระภาค ผู้มีจักษุทรงฝึกดีแล้ว ฯ
ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนัก พระผู้มีพระภาคว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าว่า เป็นสรณะ เขาจัก ไม่ไปอบายภูมิ ละกายมนุษย์แล้ว จักยังเทวกายให้บริบูรณ์ ฯ  ชื่อของหมู่เทวดา
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า  ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พวกเทวดาในโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนา ตถาคตและภิกษุสงฆ์ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละได้ประชุมกัน เพื่อทัศนา พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้มีแล้วในอดีตกาล เหมือนที่ ประชุมกันเพื่อทัศนาเราในบัดนี้ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละ จักประชุมกันเพื่อ ทัศนาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจักมีในอนาคตกาล เหมือนที่ประชุมกันเพื่อทัศนาเราในบัดนี้ เราจักบอกนามพวกเทวดา เราจักระบุนามพวกเทวดา เราจักแสดงนาม พวกเทวดา พวกเธอจงฟังเรื่องนั้น จงใส่ใจให้ดี เรา จักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส พระคาถานี้ว่า
เราจักร้อยกรองโศลก ภุมมเทวดาอาศัยอยู่ ณ ที่ใด พวกภิกษุก็ อาศัยที่นั้น ภิกษุพวกใดอาศัยซอกเขา ส่งตนไปแล้ว มีจิตตั้งมั่น ภิกษุพวกนั้น เป็นอันมาก เร้นอยู่ เหมือนราชสีห์ ครอบงำความขนพองสยองเกล้าเสียได้ มีใจผุดผ่อง เป็นผู้ หมดจด ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว พระศาสดาทรงทราบภิกษุประมาณ ๕๐๐ เศษ ที่อยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์
แต่นั้นจึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีในพระศาสนา ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น ภิกษุเหล่านั้นสดับรับสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ กระทำความเพียร ญาณเป็นเครื่องเห็นพวกอมนุษย์ ได้ปรากฏแก่ ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวก ได้เห็นอมนุษย์ร้อยหนึ่ง บางพวก ได้เห็นอมนุษย์พันหนึ่ง บางพวกได้เห็นอมนุษย์เจ็ดหมื่น บาง พวกได้เห็นอมนุษย์หนึ่งแสน บางพวกได้เห็นไม่มีที่สุด อมนุษย์ได้แผ่ไปทั่วทิศ พระศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงใคร่ครวญ  ทราบเหตุนั้นสิ้นแล้ว แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีใน พระศาสดาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น เราจักบอกพวกเธอด้วยวาจา ตามลำดับ ยักษ์เจ็ดพันเป็นภุมมเทวดาอาศัยอยู่ในพระนคร กบิลพัสดุ์ มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศยินดี มุ่งมายัง ป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์หกพันอยู่ที่เขาเหมวตามี รัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์สามพันอยู่ที่เขา สาตาคีรี มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ  ยักษ์เหล่านั้นรวม เป็นหนึ่งหมื่นหกพัน มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพมีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์ ห้าร้อยอยู่ที่เขาเวสสามิตตะ มีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุม ของภิกษุ ยักษ์ชื่อกุมภีระอยู่ในพระนครราชคฤห์ เขาเวปุลละ เป็นที่อยู่ของยักษ์นั้น ยักษ์แสนเศษแวดล้อมยักษ์ชื่อกุมภีระ นั้น ยักษ์ชื่อกุมภีระอยู่ในพระนคร        ราชคฤห์แม้นั้น ก็ได้มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ
ท้าวธตรัฏฐอยู่ด้านทิศบูรพา ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท มีกำลังมากมีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
ท้าววิรุฬหก อยู่ด้านทิศทักษิณ ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวกกุมภัณฑ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินทมีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายัง ป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
ท้าววิรูปักษ์อยู่ด้านทิศปัจจิม ปก ครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวกนาค เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ
ท้าวกุเวร อยู่ด้านทิศอุดร ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวก ยักษ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มากมีนามว่าอินท มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ท้าวธตรัฏฐเป็นใหญ่ทิศ บูรพา ท้าววิรุฬหก เป็นใหญ่ทิศทักษิณ ท้าววิรูปักษ์เป็นใหญ่ ทิศปัจจิม ท้าวกุเวรเป็นใหญ่ทิศอุดร ท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น ยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบให้รุ่งเรืองได้ยืนอยู่แล้วในป่าเขตพระ นครกบิลพัสดุ์ ฯ
ท้าวโลกบาลทั้ง ๔
พวกบ่าวของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น มีมายา ล่อลวง โอ้อวด เจ้าเล่ห์ มา ด้วยกัน มีชื่อคือกุเฏณฑุ ๑ เวเฏณฑุ ๑ วิฏ ๑ วิฏฏะ ๑ จันทนะ ๑ กามเสฏฐะ ๑ กินนุฆัณฑุ ๑ นิฆัณฑุ ๑ และท้าวเทวราชทั้งหลายผู้มีนาม ว่าปนาทะ ๑ โอป มัญญะ ๑ เทพสารถีมีนามว่า มาตลิ ๑ จิตตเสนะ ผู้คนธรรพ์ ๑ นโฬราชะ ๑ ชโนสภะ ๑ ปัญจสิขะ ๑ ติมพรู ๑ สุริยวัจฉสา เทพธิดา ๑ มาทั้งนั้น ราชาและคนธรรพ์พวกนั้น และพวกอื่น กับเทวราชทั้งหลายยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุอนึ่งเหล่านาคท ี่อยู่ใน สระชื่อนภสะบ้าง อยู่ในเมืองเวสาลีบ้าง พร้อมด้วยนาคบริษัทเหล่าตัจฉกะ กัมพลนาค และอัสสตรนาคก็มา นาคผู้อยู่ในท่า ชื่อปายาคะ กับญาติ ก็มา นาคผู้อยู่ใน แม่น้ำยมุนา เกิดในสกุลธตรัฏฐ ผู้มียศ ก็มาเอราวัณเทพบุตรผู้เป็นช้างใหญ่ แม้นั้นก็มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ
ปักษีทวิชาติผู้เป็นทิพย์ มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ นำนาคราชไปได้ โดยพลันนั้น มาโดยทางอากาศถึงท่ามกลางป่า ชื่อของปักษีนั้นว่า จิตรสุบรรณ ในเวลานั้น นาคราชทั้งหลาย ไม่ได้มีความ กลัวพระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำให้ปลอดภัยจากครุฑ นาคกับ ครุฑเจรจากัน ด้วยวาจาอันไพเราะ กระทำพระพุทธเจ้าให้เป็นสรณะ พวกอสูรอาศัยสมุทรอยู่ อันท้าววชิรหันถ์รบชนะแล้ว เป็นพี่น้องของท้าววาสพ มีฤทธิ์ มียศ เหล่านี้คือพวก กาลกัญชอสูร มีกายใหญ่น่ากลัวก็มา พวกทานเวฆสอสูรก็มา เวปจิตติอสูรสุจิตติอสูร ปหาราทอสูร และนมุจีพระยามารก็มาด้วยกัน บุตรของพลิอสูรหนึ่งร้อย มีชื่อว่าไพโรจน์ทั้งหมดผูกสอดเครื่องเสนาอันมีกำลัง เข้าไปใกล้อสุรินทราหู แล้วกล่าว ว่า ดูกรท่านผู้เจริญ บัดนี้ เป็นสมัยที่จะประชุมกัน ดังนี้แล้ว เข้าไปยังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ
เทวนิกาย ในเวลานั้น เทวดาทั้งหลาย ชื่ออาโป ชื่อปฐวี ชื่อเตโช ชื่อวาโย ได้พากันมาแล้ว เทวดา ชื่อวรุณะ ชื่อวารุณะ ชื่อโสมะ ชื่อยสสะ ก็มาด้วยกัน เทวดาผู้บังเกิดในหมู่เทวดาด้วยเมตตาและกรุณาฌาน เป็นผู้มียศ ก็มา หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุม ของภิกษุ เทวดา ชื่อเวณฑู ชื่อสหลี ชื่ออสมา ชื่อยมะ ทั้งสองพวก ก็มา เทวดาผู้อาศัยพระจันทร์ กระทำพระจันทร์ไว้ในเบื้องหน้าก็มา
เทวดาผู้อาศัยพระอาทิตย์ กระทำพระอาทิตย์ไว้ในเบื้องหน้าก็มา เทวดากระทำนักษัตรไว้ใน เบื้องหน้าก็มา มันทพลาหกเทวดาก็มา แม้ท้าวสักกปุรินททวาสวะ ซึ่งประเสริฐกว่าสุเทวดาทั้งหลายก็เสด็จมา
หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์มีอานุภาพมีรัศมี ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ อนึ่งเทวดาชื่อสหภูผู้รุ่งเรืองดุจเปลวไฟก็มา เทวดาชื่ออริฏฐกะ ชื่อโรชะ มีรัศมีดังสีดอกผักตบก็มา เทวดาชื่อวรุณะ ชื่อสหธรรมชื่ออัจจุตะ ชื่ออเนชกะ ชื่อสุเลยยะ ชื่อรุจิระก็มา เทวดา ชื่อวาสวเนสีก็มา
หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมด ล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมีมียศ ยินดี มุ่ง มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ เทวดาชื่อสมานะ ชื่อ มหาสมานะ ชื่อมานุสะ ชื่อมานุสุตตมะ ชื่อขิฑฑาปทูสิกะ ก็มา เทวดาชื่อมโนปทูสิกะก็มา อนึ่ง เทวดาชื่อหริ เทวดาชื่อโลหิต วาสี ชื่อปารคะ ชื่อมหาปารคะ ผู้มียศ ก็มา
หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวกทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ เทวดา ชื่อสุกกะ ชื่อกรุมหะ ชื่ออรุณะ ชื่อเวฆนสะก็มาด้วยกันเทวดาชื่อโอทาตคัยหะ ผู้เป็นหัวหน้า เทวดาชื่อวิจักขณะ ก็มา เทวดาชื่อสทามัตตะ ชื่อหารคชะ และชื่อมิสสกะ ผู้มียศ ก็มา ปชุนนเทวบุตร ซึ่งคำรามให้ฝนตกทั่วทิศก็มา
หมู่เทวดา๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุเทวดาชื่อเขมิย ะ เทวดาชั้นดุสิต เทวดาชั้นยามะ และเทวดาชื่อกัฏฐกะ มียศ เทวดาชื่อลัมพิตกะ ชื่อลามเสฏฐะ ชื่อโชตินามะ ชื่ออาสา และเทวดาชั้นนิมมานรดีก็มา อนึ่ง เทวดาชั้นปรนิมมิตะก็มา
หมู่เทวดา ๑๐เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ หมู่เทวดา ๖๐เหล่านี้ ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่างๆ กัน มาแล้วโดยกำหนดชื่อ และ เทวดาเหล่าอื่นผู้เช่นกัน มาพร้อมกันด้วยคิดว่า เราทั้งหลายจัก เห็นพระนาคผู้ปราศจากชาติ ไม่มีกิเลสดุจตะปู มีโอฆะอัน ข้ามแล้ว ไม่มีอาสวะข้ามพ้นโอฆะ ผู้ล่วงความยึดถือได้แล้ว ดุจพระจันทร์พ้นจากเมฆฉะนั้น. ฯ
พรหมนิกาย
สุพรหมและปรมัตตพรหม ซึ่งเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าผู้มี ฤทธิ์ ก็มาด้วย สนังกุมารพรหม และติสสพรหมแม้นั้น ก็มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ท้าวมหาพรหมย่อมปกครอง พรหมโลกพันหนึ่ง ท้าวมหาพรหมนั้นบังเกิดแล้วในพรหมโลก มีอานุภาพ มีกายใหญ่โต มียศ ก็มา
พรหม๑๐ พวก ผู้เป็น อิสระในพวกพรหมพันหนึ่ง มีอำนาจเป็นไปเฉพาะองค์ละอย่างก็มา มหาพรหมชื่อหาริตะ อันบริวารแวดล้อมแล้ว มาในท่ามกลางพรหมเหล่านั้น มารเสนา ได้เห็นพวกเทวดา พร้อมทั้ง พระอินทร์ พระพรหมทั้งหมดนั้น ผู้มุ่งมา ก็มาด้วย แล้วกล่าวว่าท่านจงดูความเขลาของมาร พระยามารกล่าวว่า พวกท่านจงมาจับ เทวดาเหล่านี้ผูกไว้ ความผูกด้วยราคะ จงมีแก่ท่านทั้งหลาย พวกท่านจงล้อมไว้โดยรอบ อย่าปล่อยใครๆ ไป พระยามารบัง คับเสนามารในที่ประชุมนั้นดังนี้แล้ว เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน กระทำเสียงน่ากลัว เหมือนเมฆยังฝนให้ตก คำรามอยู่ พร้อมทั้ง ฟ้าแลบ ฉะนั้น เวลานั้น พระยามารนั้นไม่อาจยังใครให้เป็นไป ในอำนาจได้ โกรธจัด กลับไปแล้ว พระศาสดาผู้มีพระจักษุทร พิจารณาทราบเหตุนั้นทั้งหมด แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ ยินดีในพระศาสนาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารเสนามาแล้ว พวกเธอจงรู้จักเขา
ภิกษุเหล่านั้นสดับพระดำรัสสอนของพระ พุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียร มารและเสนามารหลีกไป จากภิกษุผู้ปราศจากราคะ ไม่ยังแม้ขนของท่านให้ไหว (พระยามารกล่าวสรรเสริญว่า) พวกสาวกของพระองค์ทั้งหมดชนะ สงครามแล้ว ล่วงความกลัวได้แล้ว มียศปรากฏในหมู่ชนบันเทิงอยู่กับด้วยพระอริยเจ้า ผู้เกิดแล้วในพระศาสนา ดังนี้แล. ฯ
จบมหาสมัยสูตร

ธารณปริตต์แปล

๑.    อันชีวิตแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อันใครๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ฉันใด
ขอชีวิตความเป็นอยู่แห่งข้าพเจ้า จงเป็นเหมือนเช่นกัน อันว่าญาณที่ไม่มีเครื่องกระทบของพระพุทธเจ้าผู้มีบุญมีย่อมมีในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน
              ๒.    อันว่ากายกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ  อันว่าวจีกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ  อันว่ามโนกรรมทั้งปวงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลายสามเหล่านี้มีญาณเป็นประธานเป็นไปตามญาณ
              ๓.    อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของประโยชน์ที่ประสงค์ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๖ ประการเหล่านี้ อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งการแสดงธรรม ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของความเพียร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงของวิปัสสนาญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความเสื่อมถอยน้อยลงแห่งกามาวจรและรูปาวจรวิมุตติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
              ๔.    อันว่าการพูดเล่น ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบด้วยคุณธรรมทั้งหลาย ๑๒ ประการเหล่านี้ อันว่าการพูดพลั้งเผลอโดยขาดสติ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความไม่แพร่หลายในเญยยะธรรม ๕ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าการกระทำใดๆ อย่างผลุนผลัน โดยไม่การพิจารณาเสียก่อน ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าความมีใจวุ่นวายด้วยกิเลส ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าการกระทำที่ไม่มีอุเบกขาในเตภูมิสังขาร ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
              ๕.    อันว่าความเคารพนอบน้อม ขอจงมีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ผู้ประกอบแล้วด้วยคุณธรรม ๑๘ ประการเหล่านี้ อันว่ากายทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่าวจีทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต
อันว่ามโนทุจริต ย่อมไม่มีแด่พระตถาคต อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอดีต อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในปัจจุบัน อันว่าญาณ อันมีเครื่องกระทบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบุญ ย่อมไม่มีในอนาคต อันว่ากายกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่าวจีกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่ามโนกรรมทั้งปวง ไม่มีญาณเป็นประธาน ไม่เป็นไปตามญาณ ย่อมไม่มีแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันว่า ธารณปริตร นี้ ไม่มีเครื่องเทียบ ไม่มีเครื่องเสมอเหมือน เป็นที่ต่อต้าน เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์ ผู้ที่กลัวภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย อัคคัง ประเสริฐ มหาเตชัง มีเดชมาก
              ๖.    ดูกรอานนท์ ท่านจงท่องจดจำ สอบถาม ซึ่งธารณปริตรนี้ อันว่ากายของผู้ท่องสวดมนต์ธารณปริตรนี้ ไม่พึงตายด้วยพิษงู พิษนาค ไม่พึงตายในน้ำ อันว่าไฟไม่พึงไหม้เป็นผู้พ้นภัยพิบัติต่างๆ ใครคิดทำร้ายในวันเดียวก็ไม่สำเร็จ ใครคิดร้ายทำลายในสองวัน สามวัน สี่วัน...ก็ไม่สำเร็จ ไม่พึงเป็นโรคหลงลืม ไม่พึงเป็นบ้าใบ้ อันอมนุษย์ทั้งหลาย ไม่สามารถเบียดเบียนได้
              ๗.    อันว่าธารณปริตรนี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ คือ ชาโล มีอานุภาพเหมือนพระอาทิตย์ ประชุมกัน ๗ ดวง ที่ขึ้นมาในเวลาโลกาพินาศ มหาชาโล มีอานุภาพเหมือนมุ้งเหล็ก ที่สามารถป้องกันภัยจาก เทวดา อินทร์ นาค ครุฑ ยักษ์ เป็นต้น ชาลิตเต มีอานุภาพประหารศัตรูทั้งหลาย มหาชาลิตเต มีอานุภาพให้พ้นจากกัปทั้ง ๓ คือ โรคันตรกัป, สัตถันตรกัป และทุพภิกขันตรกัป มีอานุภาพให้พ้นจากโลกต่างๆ ในเวลาปฏิสนธิคือ การเป็นใบ้ เป็นพิการ เป็นคนหูหนวก อีกทั้งไม่พึงตกต้นไม้ ตกเหว ตกเขาตาย สามารถได้สมบัติที่ยังไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่ได้มาแล้วก็จะเจริญขึ้นโดยความเป็นจริง สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง
              ๘.    ดูกรอานนท์ อันธารณปริตร ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตรัสไว้พึงสมาคมคนดี ไม่พึงสมาคมคนชั่ว พึงนำมาซึ่งกลิ่นและรสอันเป็นธรรม พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจดี ไม่พึงน้อมนำมาซึ่งน้ำใจร้าย พึงทำกายให้เป็นกายดี พึงนำมาแต่สิ่งอันเป็นกุศล ไม่ถึงนำมาซึ่งสิ่งอันเป็นอกุศล พึงฟังแต่สิ่งที่ดีไม่พึงฟังสิ่งที่ไม่ดี พึงเห็นแต่นิมิตดี ไม่ถึงเห็นนิมิตร้าย โยรุกเข ต้นไม้ที่ตายแล้วสามารถฟื้นขึ้นมาได้ มหาโยรุกเข ต้นไม้ที่ยังเป็นอยู่ ก็ทำให้เจริญงอกงามโดยความเป็นจริง สามารถประหารความมืด แล้วได้ความสว่าง
              ๙.    ดูกรอานนท์ อันธารณปริตรนี้ สามารถรู้ความคิดร้ายของผู้อื่น อาวุธต่างๆ มีเครื่องประหาร เช่น มีด หอก ปืน ไฟ เป็นต้น ไม่สามารถทำอันตรายได้ มันติลา สามารถทำน้ำมนต์คาถา ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น สามารถประหารโรคต่างได้ และโรคร้ายแรงต่างๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ ทุพพิลาสามารถหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด ด้วยอำนาจแห่งสัจจะวาจานี้ ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแก่ข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อเถิด


ความหมายของธัมมะจักรกัปปะวัตนะสูตร

          ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์เถระ) ได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสี ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนพระปัญญจวัคคีย์อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ เหล่าอย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยกาม ในกามทั้งหลายนี้ใดเป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน เป็นของคนผู้มีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนไปจากข้าศึกคือกิเลส ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ คือประกอบความเหน็ดเหนื่อยด้วยตน เหล่านี้ใด ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลส ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั่นนั้น อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ ย่อมเป็นไปเพื่อเข้าไปสงบระงับจากกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อ ความดับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติอันเป็นกลางนั้นเป็นไฉน ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง กระทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ ย่อมเป็นไปเพื่อเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ ทางมีองค์ ๘ เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลสนี้เอง ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ  การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ การระลึกชอบ ความตั้งจิตชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้แลข้อ ปฏิบัติที่เป็นกลางนั้น ที่ตถาคต ได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง กระทำดวงตา คือ กระทำญาณเครื่องรู้  ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อความดับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แลเป็นตัวทุกข์อย่างแท้จริง คือ  แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์  แม้ความแก่ ก็เป็นทุกข์  แม้ความตาย ก็เป็นทุกข์  แม้ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์  ความประสบพบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์   ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์  มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์  ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อนี้แลเป็นเหตุให้ทุกข์อย่างแท้จริง คือ ความทะยานอยากนี้ใด  ทำให้มีภพอีก   เป็นไปกับความกำหนัด ด้วยอนาจความเพลิดเพลิน เพลินยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ   ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ  ความทะยานอยากในอารมณ์ที่ใคร่ ความทะยานอยากในความมีความเป็น  ความทะยานอยากในความไม่มี ไม่เป็น  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อนี้แลเป็นความดับทุกข์  ความดับโดยสิ้นกำหนัด โดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นแหละใด  ความสละตัณหานั้น   ความวางตัณหานั้น  การปล่อยตัณหานั้น   ความไม่พัวพันแห่งตัณหานั้น  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แลเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ   ทางมีองค์ ๘ เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลส นี้เอง   ได้แก่ สิ่งเหล่านี้ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ  ความดำริชอบ  วาจาชอบ  การงานชอบ  ความเลี้ยงชีวิตชอบ   ความเพียรชอบ  ความระลึกชอบ   ความตั้งจิตชอบ
          ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้ว ในกาลก่อนว่า นี่เป็นทุกข์อริยสัจ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้  ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล  เราได้กำหนดรู้แล้ว
          ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจ  ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจนี้แล ควรละเสีย  ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกข์สมุทัยอริยสัจนี้แล เราละได้
          ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกขนิโรจอริยสัจ  ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกขนิโรจอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง  ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า นี่ทุกขนิโรจอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้ทำให้แจ้งแล้ว
          ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า  นี่ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า  ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นแล ควรให้เจริญ  ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย จักขุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่ได้เคยฟังแล้วในกาลก่อนว่า  ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้นแล อันเราเจริญแล้ว
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้ตามความเป็นจริงอย่างไร ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้ว   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปพร้อมด้วยกับเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ทั้งในสมณพราหมณ์ เทวดา มนุษย์ ไม่ได้เพียงนั้น  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ปัญญาอันเห็นตามเป็นจริงอย่างไรในอริยสัจ๔ เหล่านี้ของเรา มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญา เครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วยกับเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ ทั้งในสมณพราหมณ์ เทพยดา มนุษย์   ก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว  ว่า การพ้นพิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก  พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสธรรมปริยายนี้แล้ว พระภิกษุปัจจวัคคีย์ก็มีใจยินดีเพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ก็แล เมื่อไวยากรณ์นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่  จักษุในธรรม อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่พระผู้มีอายุโกณทัญญะ ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้ว สิ่งนั้นทั้งปวง ก็ต้องดับสลายไปเป็นธรรมดา"  ก็เมื่อธรรมจักรอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว
          เหล่าภูมิเทวดา ก็ส่งเสียงให้บันลือลั่นขึ้นว่า นั่นจักรคือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม และใคร ๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้ เทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมหาราช ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าภูมิเทวดาแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์ ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นยามา ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิต ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นยามาแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิตแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น พรหมเจ้าที่เกิดในชั้นพรหม ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัตตีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่นขึ้นว่า   "นั่นจักรคือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม และใคร ๆ ในโลก ไม่สามารถให้เป็นไปได้ดังนี้ ฯ" โดยขณะหนึ่งครู่หนึ่งนั้น เสียงขึ้นไปถึงพรหมโลกด้วยประการฉะนี้ ฯ   ทั้งหมื่นโลกธาตุ ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้านลั่นไป   ทั้งแสงสว่างอันใหญ่ยิ่งไม่มีประมาณ ได้ปรากฏแล้วในโลก   ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลายเสียหมด ฯ  ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานขึ้นว่า   
          โกณทัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ โกณทัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ   เพราะเหตุนั้น นามว่า "อัญญาโกณทัญญะ" นี้นั่นเทียว ได้มีแล้วแก่พระโกณทัญญะผู้มีอายุ ด้วยประการฉะนี้ แล ฯ



วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รหัสลับการค้นหาผู้รู้ : ฉบับพ่อแม่ครูจารย์เยื้อน ขนฺติพโล

 
         การศึกษาเล่าเรียนศาสตร์ต่าง ๆ ทุกแขนงวิชาจำเป็นต้องอาศัยหลักการและทฤษฎีที่มีการศึกษายืนยันแล้วยืนยันเล่า คน ๆ หนึ่งสามารถศึกษาได้ในหลายทฤษฎี และหลักการและทฤษฎีหนึ่ง ๆ นั้นสามารถประยุกต์ใช้ได้หลายวิชาเช่นเดียวกัน ทฤษฎีนับเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการศึกษาแสวงหาความรู้ เพราะสามารถยืนยัน ตรวจสอบ องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาได้ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การศึกษาแสวงหาความรู้จำเป็นต้องอาศัยหลักทฤษฎีเข้ามาช่วย ทั้งแบบอุปนัยและนิรนัย
          การปฏิบัติธรรมให้มีความเจริญก้าวหน้าตามที่มุ่งหมายก็เช่นเดียวกัน ผู้ปฏิบัติหรือโยคีทั้งหลายต้องมีหลักในการปฏิบัติในการดำเนินจิตของตนจึงจะเห็นพัฒนาการต่าง ๆ ได้ แต่ทั้งนี้การปฏิบัติธรรมจะเร่งรีบพยายาม หรือมีการคาดการคาดหวังผลมากก็ไม่ได้ ดังประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า “อยากได้จะไม่ได้” ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมเพื่อค้นหาจิต ค้นหาผู้รู้นั้น ทำเหมือนไม่ตั้งใจแต่ก็ตั้งใจอยู่นั่นแหละ เห็นเหมือนไม่เห็นแต่ก็มองเห็นอยู่นั่นเอง
หลักและทฤษฎีค้นหาผู้รู้
          หลักปฏิบัติที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ที่พระบรมศาสดาประทานไว้ให้นั้น มีอยู่ ๔๐ อย่าง มีชื่อเรียกรวม ๆ ว่า กัมมัฏฐาน ๔๐ ห้อง แต่ละวิธีก็เชื่อมั่นได้ว่าถ้าโยคีท่านใดปฏิบัติตามย่อมเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ เช่น
         ๑.   วัตถุที่ใช้เพ่งรวมจิตให้สงบนิ่ง (กสิณ ๑๐) ประกอบด้วย
               ๑.   ดิน (ปฐวีกสิณ)           ๖.   สีเหลือง (ปีตกกสิณ)
               ๒.   น้ำ (อาโปกสิณ)           ๗.   สีแดง (โลหิตกสิณ)
               ๓.   ไฟ (เตโชกสิณ)            ๘.   สีขาว (โอทาตกสิณ)
               ๔.   ลม (วาโยกสิณ)           ๙.   แสงสว่าง (อาโลกกสิณ)
               ๕.   สีเขียว (นีลกสิณ)         ๑๐. ที่ว่างเปล่า (อากาสกสิณ)
         ๒.   สิ่งที่ไม่สวยงาม ของเน่าเสีย (อสุภะ ๑๐) ประกอบด้วย
               ๑.   ซากศพที่เน่าพอง (อุทธุมาตกะ)                     
               ๒.   ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำคละสีต่างๆ (วินีลกะ)          
               ๓.   ซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มปริออกมา (วิปุพพกะ)   
               ๔.   ซากศพที่ขาดจากกันเป็น ๒ ท่อน (วิจฉิททกะ)      
               ๕.   ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกินแล้ว (วิกขายิตกะ) 
               ๖.   ซากศพที่หลุดออกเป็นส่วนๆ (วิกขิตตกะ)
               ๗.   ซากศพที่ถูกสับเป็นท่อนๆ (หตวิกขิตตกะ)
               ๘.   ซากศพที่มีโลหิตไหลอาบอยู่ (โลหิตกะ)
               ๙.   ซากศพที่เต็มไปด้วยหนอน (ปุฬุวกะ)
             ๑๐.   ซากศพที่เหลือแต่กระดูก (อัฏฐิกะ)
         ๓.   ใช้การระลึกถึง (อนุสติ ๑๐) ประกอบด้วย
               ๑.   ระสึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า (พุทธานุสติ)    
               ๒.   ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอน (ธัมมานุสติ)        
               ๓.   ระลึกถึงพระสงฆ์ (สังฆานุสติ)                   
               ๔.   ระลึกถึงศีลที่เราปฏิบัติ (สีลานุสติ)               
               ๕.   นึกถึงการบริจาคทานที่เราเคยทำ (จาคานุสติ)  
               ๖.   นึกถึงพระคุณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย (เทวตานุสติ)
               ๗.   ใช้ความตายเป็นอารมณ์ (มรณสติ)
               ๘.   พิจารณาส่วนประกอบในร่างกายเรา (กายคตาสติ) 
               ๙.   ใช้จิตกำหนดที่ลมหายใจ (อานาปานสติ)
              ๑๐.  ระลึกถึงคุณของพระธรรม(อุปสมานุสติ)
         ๔.   ธรรมที่ใช้สำหรับดำเนินชีวิตอันประเสริฐ (อัปปมัญญา ๔) ประกอบด้วย
               ๑.   เมตตา คือความปรารถนาที่อยากให้ผู้อื่นมีความสุข
               ๒.   กรุณา คือความคิดรู้สึกสงสารอยากให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์
               ๓.   มุทิตา คือความรู้สึกยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นมีสุข
               ๔.   อุเบกขา คือการวางเฉย เป็นกลางในความประพฤติและความคิด
               ๕.   อาหารที่ต้องเน่าเสีย (อาหาเร ปฏิกูลสัญญา)
         ๖.   ใช้การพิจารณาธาตุทั้ง ๔ ในกาย (จตุธาตุววัฏฐาน) ประกอบด้วย
               ๑.   ธาตุที่กินพื้นที่นั่นก็คือธาตุดิน         (ปฐวีธาตุ)
               ๒.   ธาตุที่เป็นของเหลวนั่นก็คือธาตุน้ำ    (อาโปธาตุ)
               ๓.   ธาตุที่มีความร้อนนั่นก็คือธาตุไฟ      (เตโชธาตุ)
               ๔.   ธาตุที่ทำให้สั่นไหวนั่นก็คือธาตุลม     (วาโยธาตุ)
         ๗.   ใช้สิ่งที่ไม่มีรูป จับต้องไม่ได้เป็นอารมณ์ (อรูป ๔) ประกอบด้วย
               ๑.   ภาวะของฌาณที่ใช้ช่องว่าง หรือความว่างเปล่าอันหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ (อากาสานัญจายตนะ)
               ๒.   ภาวะของฌาณที่ใช้ความหาที่สุดไม่ได้ของวิญญาณเป็นอารมณ์ (วิญญาณัญจายตนะ)
               ๓.   ภาวะของฌาณที่ใช้ภาวะที่ไม่มีอะไรกำหนดเป็นอารมณ์ (อากิญจัญญายตนะ)
               ๔.   ภาวะของฌาณที่ว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ)
กิจเบื้องต้นก่อนการปฏิบัติธรรม
       ชาวไร่ชาวนาเวลาถึงฤดูเพาะปลูกจะต้องมีการตระเตรียมตั้งแต่ดิน กล้า น้ำ ปุ๋ย และค่าแรงงานไว้ให้พร้อม ถ้าสิ่งเหล่านี้พร้อมก็จะทำให้การทำงานเร็วขึ้นสามารถทำเวลาได้ ถ้ามีเวลาพอก็สามารถไปรับจ้างคนอื่นได้ การปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ผู้ปฏิบัติต้องมีการเตรียมพร้อม (การปฏิบัติจิตภาวนาไม่มีการเลือกเพศนะว่า ต้องเป็นเพศชายและต้องเป็นนักบวชอย่างเดียว มันไม่ใช่อย่างนั้น การปฏิบัติธรรมไม่มีเพศ ชายก็ดี ผู้หญิงก็ดี มิใช่เพศชายเพศหญิงก็ดี สามารถปฏิบัติได้) คือเบื้องต้น  ๑.       ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์ เช่นสำหรับอุบาสกอุบาสิกาควรการรักษาศีล ๕ หรือศีลอุโบสถ ส่วนสามเณรต้องมีศีล ๑๐ ภิกษุสงฆ์ศีล ๒๒๗
       ๒.   ต้องมีศรัทธาที่แน่วแน่ในการปฏิบัติ คือเชื่ออย่างสุดใจเลยว่าธรรมะของพุทธเจ้ามีจริงสามารถปฏิบัติให้รู้ตามได้
         ๓.   มีความเพียรหนักแน่น ไม่เป็นคนจับจด สนใจเรียนวิธีกัมมัฏฐานแบบไหนก็ทำแบบนั้นจนถึงที่สุด ถ้าทำจนสุดกำลังแล้วไม่เกิดผลจึงเปลี่ยนวิธีใหม่ แต่ทุกครั้งขอให้ทำด้วยความตั้งใจและมีใจที่เชื่อมั่นจริง ๆ
         ๔.   บุญกิริยาอย่างอื่นก็กระทำไปพร้อม ๆ กันการปฏิบัติธรรมด้วย เช่น การให้ทาน การฝึกความอ่อนน้อมถ่อมตน การให้เกียรติผู้อื่นที่มีอาวุโสกว่า  การเอื้อเฟื้อต่อบุคคลอื่น การบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมต่าง ๆ เพราะถือเป็นการบริหารร่างกายไปในตัว (การปฏิบัติธรรมนั้น จิตใจจะไม่เครียดแต่ร่างกายธาตุขันธ์แถบแตกหัก)
         ที่กล่าวมานี้เป็นกิจเบื้องต้นสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมต้องเตรียมให้พร้อม และอาจจะมีอย่างอื่นเข้ามาอีก แต่ก็ไม่เกินนี้ ถ้าสี่อย่างนี้พร้อมก็จะเป็นปัจจัยส่งผลให้การพัฒนาจิตใจของเราก้าวหน้าเร็วขึ้น นอกจากนั้นยังมีเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นด้วย เช่น อาหาร บุคคล สถานที่ ธรรมที่สัปปายะ คือเอื้อต่อการปฏิบัติ
         ข้อสังเกต  คือสำหรับผู้ที่ห่างไกลวัดวามาก นาน ๆ เข้าวัดครั้งหนึ่ง  ศีลก็ไม่ค่อยรู้จัก  ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้มักจะได้ดี  เพราะ ๑. ตนไม่รู้ทำตามที่อาจารย์บอก  ๒. ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก จิตจึงไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ตนกระทำในวันหนึ่ง ๓. มีศรัทธาและตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติธรรมเพราะเจอปัญหาหนักในชีวิตจึงไม่สนใจอะไรปฏิบัติอย่างเดียว


ทางลัดเพื่อค้นหาผู้รู้ ตามแบบพระอาจารย์เยื้อน ขนฺติพโล
         การสอนกัมมัฏฐานของพ่อแม่ครูจารย์นั้น ท่านมักพูดเสมอว่า “ท่านจะเก็บตก” คือในปัจจุบันนี้มีสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานเกิดขึ้นมากมาย แต่ละสำนักก็จะมีวิธีการสอนที่แตกต่างออกไป ผิดบ้างถูกบ้างแต่ก็เข้าใจว่าวิธีที่ตนสอนนั้นถูกแล้ว  เพราะตามตำราว่าแบบนี้ บางสำนักก็ยึดตำรามากจนปฏิเสธวิธีการอย่างอื่น มองวิธีการหรือรูปแบบอย่างอื่นด้านลบไปเลยก็มี ประเด็นนี้ผู้เขียนเคยนำเรียนพ่อแม่ครูจารย์เยื้อน ท่านพูดสั้น ๆ ว่า “ถึงที่สุดไหม ถ้าไม่ถึงที่สุดไม่ต้องพูดเพราะไม่จบ” วิธีการสอนกัมมัฏฐานของท่านนี้ จัดอยู่ในหลักกัมมัฏฐาน ๔๐ ทุกอย่าง เพียงแต่ท่านนำมาประยุกต์ใหม่ให้ทันกับเหตุการณ์ และมีความใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด คือท่านใช้น้ำเย็น ๆ เป็นอุบาย หรือเป็นสื่อในการสอน เวลาใครมาเรียนถามกัมมัฏฐาน หรือปรึกษาปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติ แม้กระทั้งผู้ที่กำลังจะฝึกหัดใหม่ ๆ ท่านจะให้กินน้ำเย็นก่อน เน้นว่าต้องเป็นน้ำเย็นเจี๊ยบ กินเป็นแก้วหรือได้เป็นขวดยิ่งดี (ไม่ต้องฟอร์มผู้ดีว่ากินจุ) กินเพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่กินเพื่อให้อิ่ม ท่านให้เหตุผลว่า “เวลาที่จิตของผู้ปฏิบัติเข้าสู่ความสงบแท้จริงแล้ว จะมีอาการเหมือนขณะน้ำเย็น ๆ ที่กำลังไหลลงสู่ลำคอ ผ่านลำไส้ไปรวมอยู่ที่กระเพาะอาหารเลย”

         โดยปรกติ เวลาปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่จะกำหนดที่ตั้งไว้ที่ปลายจมูกดูลมหายใจเข้า-ออก พร้อมกับบริกรรมภาวนากำกับไว้ว่า พุท-โธ ดูไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสงบ (แต่สำหรับส่วนตัวพ่อแม่ครูจารย์เยื้อน ท่านว่ากำหนดแบบนี้เป็นเพียงการเฝ้าดูเฉย ๆ ไม่สามารถสงบได้ ถึงสงบได้ก็ไม่ถึงจิตเดิม) ขณะที่ท่านฝึกหัดใหม่ ๆ ท่านก็กำหนดลมหายใจเข้าบริกรรมว่า-พุท หายใจออกก็บริกรรมว่า-โธ ขณะที่นั่งอยู่นั้นก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า ถ้ากำหนดแบบนี้ไม่วันสงบหรอก เพราะเวลาที่หายใจเข้า-ออก ร่างกายมีอาการสั่นไหว และผะวงกับลมหายใจสั้น-ยาวอีก จิตใต้สำนึกของท่านลึก ๆ พูดขึ้นว่า ต้องกำหนดข้างใน คือเวลาหายใจเข้าเต็มปอดจะมีความรู้สึกสุดท้ายลึก ๆ หวิว ๆ อยู่ข้างใน ให้กำหนดพุท-โธตรงนั้น พุท-กำหนดไว้ข้างในพอ-โธก็ยังกำหนดไว้ที่เดิม ไม่เกินสิบนาทีจิตก็สงบ (สำหรับผู้ที่มีการสะสมมามากแล้ว) ท่านกล่าวว่า คนเราจิตจะสงบได้จริง ๆ ภายใน ๕-๑๐ นาที เท่านั้น ถ้าเกินนั้นมันวุ่นวายมากกว่า หรือไม่ก็ได้แต่อดทนข่มจิตไว้เฉย ๆ และการสงบของท่านในครั้งนี้ครั้งเดียวเปลี่ยนจิตท่านหมดเลย  กลายเป็นคนใหม่ เรียกว่าลงครั้งเดียวถึงมหานครจิต พอถอนขึ้นมาธาตุรู้ก็เกิดขึ้นภายใน รู้ภายในอยู่ตลอดเวลา คือจิตเข้าในนั่นเอง อาการของการจิตเข้าในของท่านนี้ สังเกตเห็นว่าจะไม่มีอย่างอื่นมาเกี่ยวข้อง เช่น นิมิตต่างๆ นรก-สวรรค์ หรืออาการของจิตที่แสดงออก จะมีแต่กระแสธรรมล้วน ๆ สงบแล้วสงบเลยไม่มีเสื่อม จนถึงปัจจุบันนี้ และไม่มีบอกว่าภาวนาแล้วได้ธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ เช่น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี หรืออรหันต์ จะไม่มีคำสมมติบัญญัติเหล่านี้มารบกวนจิตเลย ท่านใช้คำว่า “มีเพียงจิตเหนือโลก” เมื่อปฏิบัติได้แบบนี้ จิตจะแน่วตลอดเวลา เป็นจิตที่ขยัน เป็นจิตที่มีความอดทน เป็นจิตที่พร้อมจะทำประโยชน์ให้กับโลก
         วิธีการที่ท่านประยุกต์จากประสบการจริงที่จิตท่านเข้าสู่ความสงบนั้น คือการใช้น้ำเย็น ๆ ท่านเคยกล่าวว่า “ท่านใช้เวลาหลายปีกว่าจะคิดสูตรนี้ได้ เพื่อให้ง่ายและมีความใกล้เคียงของจริง” เมื่อทุกคนกินน้ำเย็นเข้าไปแล้ว จะนั่งอิริยาบถไหนก็ได้ตามสะดวกของธาตุขันธ์ ให้กำหนดตามความเย็นตั้งแต่เรากลืนผ่านลำคอเข้าไป จนในที่สุดถึงกระเพาะหรือบริเวณสะดือเขาเรา จะกำหนดเหนือสะดือขึ้นมาประมาณ ๒ นิ้ว ก็ได้ การกำหนดนี้ คือการเฝ้ามอง เฝ้าสังเกต จุดความเย็นสุดท้ายที่ปรากฏ โดยกำหนดลงไปข้างในตรงที่เย็นนั้น ถ้าความเย็นหายให้นึกใหม่หรือกินน้ำเข้าไปใหม่ จะบริกรรมพุท-โธหรือไม่บริกรรมก็ได้ เพราะขณะนี้เราก็นึกธาตุรู้อยู่แล้ว มิใช่การเพ่ง-บังคับนะ เฝ้ามองอยู่เฉย ๆ สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนจะรู้สึกลำบาก อึดอัดนิดหน่อย แต่พอนานไปจะรู้สึกสบายขึ้นและง่ายขึ้น จะเดิน จะวิ่ง จะปฏิบัติภารกิจใด ๆ ในชีวิตประจำวันก็ไม่ขัดกับการกำหนดเช่นนี้ ให้เรากำหนดทุกอิริยาบถ ให้เข้าใจว่านี่เป็นการกำหนดภายใน หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ใช้คำว่า “อาศัยความคิดนั่นแหละจึงจะรู้” คือรู้จิตในจิต อันนี้เป็นวิธีการที่สำคัญ ทุกวิธีการที่มีสอนในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ ใครจะอ้างว่าวิธีการของสำนักเขาเป็นวิปัสสนา คือเป็นสายตรงให้ถึงความหลุดพ้นก็ตาม ที่กล่าวอ้างมานั้นยังไม่ใช่เสียทีเดียว  ที่ใช่แน่ ๆ คือทุกวิธีการมุ่งไปสู่ความสงบ หลังจากสงบแล้วเท่านั้นจึงจะวัดกันว่าผู้สอนจะสามารถชี้แนะได้ไหม และการชี้แนะนั้นผู้สอนต้องถึงด้วย เหมือนพระพุทธเจ้าในครั้งพุทธกาล เหล่าสาวกที่ออกจากป่ามาเรียนกัมมัฏฐานล้วนสามารถแก้ปัญหาได้หมด หรือในยุคที่วัดป่าบ้านตาดมีหลวงตามหาบัว  ญาณสมฺปนฺโน อยู่ผู้มีปัญหาด้านจิตภาวนาล้วนได้รับการแก้ไขและผ่านไปในที่สุด แต่ปมปัญหามีอยู่ตรงที่ว่า ปัจจุบันคนสนใจธรรมะมาก คือสนใจอ่านแต่ไม่ปฏิบัติ  หรือสนใจปฏิบัติตามสำนักต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้รูปแบบแล้วมาเปิดสถาบันสอนของตน การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกิจกรรมการเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ นั่นแหละ ถ้าหวังแค่เจริญเติบโตเพียงอย่างเดียว  ก็เปรียบเสมือนคนที่สนใจปฏิบัติเพียงรูปแบบ  หรือบางคนอยากมีลูกแต่ไม่ยอมแต่งงาน แต่จิตใจของคนเป็นพ่อ-แม่จะเลี้ยงให้โตและให้การศึกษามีความมั่นคงในชีวิต การปฏิบัติธรรมก็ต้องให้ได้อย่างนั้นเหมือนกัน คือต้องประคับประคอง เอาใจใส่ ยอมลำบากเพื่อฝึกฝน ผลออกมาก็คือความก้าวหน้าทางจิต เป็นความสุขที่สันติที่สุด

ผลลัพธ์ และความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น
         จากคำยืนยันของพ่อแม่ครูจารย์ และจากญาติธรรมทั้งหลายที่ปฏิบัติตามแนววิธีนี้ ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า “เข้าแล้วไม่ออก” จิตจะอยู่ภายในตลอดเวลาไม่มีเสื่อม จิตจะเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง และสามารถประกอบกิจกรรมการงานทุกอย่างได้ปรกติเหมือนเดิม ไม่ต้องมานั่งภาวนา ไม่ต้องทำทางเดินจงกรม หนังสือธรรมไม่ต้องอ่าน เพราะทุกอย่างดูใจตัวเองอ่านใจตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้ว จากคนที่ชอบหลับก็กลับตื่นตลอด  บางครั้งต้องฝืนให้นอนเพื่อถนอมธาตุขันธ์ เป็นคนที่ขยันร้อยเท่า คนอื่นวุ่นวายกับคำพูดคนอื่น  แต่ผู้ปฏิบัติจิตวุ่นอยู่กับความสงบ ไปไหนมาไหนเหมือนมีอีกคนไปด้วยกันตลอด จิตในขั้นนี้ทำอะไรก็เจริญสำเร็จเป็นที่วางใจแก่ตนเองและผู้อื่น อยู่ก็ดีไปก็ดี
         พ่อแม่ครูจารย์เคยให้อุบายแก่พระผู้เฒ่ารูปหนึ่ง  เกี่ยวกับเครื่องอยู่ของจิตว่า “ถ้าจิตมีสมาธิก็ให้อยู่กับสมาธิ  ถ้าจิตมีความปัญญาก็ให้อยู่กับปัญญา ถ้าจิตมีผู้รู้ก็ให้อยู่กับผู้รู้ ถ้าจิตมีความว่างก็อยู่กับความว่าง” ถ้าเอาจิตไปอยู่กับอย่างอื่นมันเป็นทุกข์ ที่ทะเลาะกันทุกวันนี้เพราะเอาจิตไปอยู่กับอารมณ์นั้นมันเลยทะเลาะไม่จบไม่สิ้น
บทสรุป
         การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคน เสมือนลมหายใจ ถ้าขาดลมเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น การปฏิบัติธรรมให้นึกเสมอว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ อย่าประมาท อย่านิ่งดูดายไม่สนใจที่จะฝึกหัดปฏิบัติเพื่อความสงบสุขทางใจของตน การภาวนา คือการขัดเกลาจิตใจตนให้บริสุทธิ์จากธุลีคือกิเลส เป็นการเตรียมความพร้อมให้ตัวเอง เหมือนผู้ที่มีการศึกษาเล่าเรียนมาดี จะประกอบอาชีพอะไรก็สามารถทำได้ถึงไม่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถเรียนรู้ได้และดีได้ในที่สุด วิธีการภาวนามีหลายวิธี เหมือนทางหลวงสายต่าง ๆ ที่มุ่งหน้าสู่จุดเดียวกันคือมหานครกรุงเทพฯ วิธีการเหล่านั้นก็เช่นเดียวกันต่างมุ่งสู่ความสงบ แต่ทั้งที่รู้ว่าวิธีการเหล่านั้นสามารถสงบได้เราก็ยังไม่สามารถทำได้เพราะติดอารมณ์ต่าง ๆ


         ฉะนั้น วิธีค้นหาจิตค้นหาผู้รู้ที่พ่อแม่ครูจารย์เยื้อน ขนฺติพโล ท่านได้ฝากไว้ให้พวกเราได้ศึกษากันนี้ เป็นวิธีลัดหรือทางลัดที่สามารถนำจิตไปสู่ความสงบได้อย่างไม่ยาก เมื่อได้สัมผัสกับความสงบแล้วก็จะรู้สึกสบายเหมือนธรรมชาติความเย็นของน้ำที่เราดื่มเข้าไปนั่นเอง






กฎไตรลักษณ์ : พญามัจจุราชได้พรากชีวิตน้องแป้งจากปิยชน

          กฏของไตรลักษณ์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กฏสามัญญลัษณะ” คือลักษณะที่ปรากฏขึ้นตามธรรมชาติของมัน มี ๓ ลักษณะ ดังนี้
         ๑. สภาวะที่ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ หรือนอกโลกนี้ มีสภาวะที่ไม่แน่นอน ไม่เที่ยงแท้ เรียกสภาวะที่เกิดขึ้นนั้นว่า อนิจจัง
        ๒. สภาวะที่มีลักษณะปรากฏกับทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น มีอาการแก่ เจ็บ และตายไปในที่สุด ซึ่งไม่สามารถทนอยู่ได้นาน เรียกสภาวะที่เกิดขึ้นนั้นว่า ทุกขัง
         ๓. สะสาร หรือทุกมูลสภาวะที่เกิดขึ้น มีลักษณะไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา เรียกสภาวะที่ปรากฏนั้นว่า อนัตตา
         รูป-นาม ที่ปรากฏขึ้นจะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติทั้ง ๓ อย่างนั้น  ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงไปได้สักราย  ความจริงตรงนี้เปรียบเสมือนกิริยาการกินข้าวของมนุษย์เรา  คือ ตั้งแต่แรกเกิดมาทุกคนจะต้องกินข้าว  จะกินได้มากได้น้อยนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกาย  เมื่อกินเสร็จแล้วสารอาหารต่างๆ ตามหลักโภชนาหารก็ย่อมส่งผลต่อร่างกายของคนเราให้มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามหลักสรีระศาสตร์  ขั้นสุดท้ายอาหารที่กินเข้าไปก็ตองมีการขับถ่ายออกมาเป็นมูลในที่สุด  เรียกกลไกนี้ว่า “ห่วงโซ่แห่งการมีชีวิต” จะมีการสืบทอดไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น
         ประเด็นที่หยิบยกขึ้นเป็นหัวข้อเรื่องว่า “ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน” ผู้เขียนต้องการสื่อถึง “การเกิด-ตาย” ของมนุษย์ที่เกิดมา ที่พร้อมไปด้วยสติปัญญา อวัยวะน้อยใหญ่ และทักษะความสามารถที่เรียนรู้ได้หลังจากเจริญเติบโตแล้ว
         ความไม่แน่นอน หมายถึง วิถีแห่งการเกิดมาเป็นมนุษย์ของคนเรานั้นมันยาก เพราะเบื้องต้นคนๆ นั้นจะต้องมีศีลที่บริสุทธิ์พอมั่นใจได้ว่าหลังจากที่ตนตายไปแล้วจะต้องได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกอย่างแน่นอน ทุกดวงจิตเมื่อมีการจุติแล้วไปปฏิสนธิที่แตกต่างกัน บ้างก็มาจากเทวโลก (สวรรค์) บ้างก็มาจากอบายภูมิ (นรก-เปรต-เดรัจฉาน-อสูรกาย) บ้างก็มาจากพรหมโลก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเป็นหลัก  การจะไปข้างหน้าเราสามารถกำหนดได้  แต่เมื่อมาเกิดแล้วเรากำหนดให้เป็นไม่ได้ (ต้องยอมรับกรรม)
         ความแน่นอน หมายถึง กิริยาของพญามัจจุราช คือความตาย ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่มีความเที่ยงตรงที่สุด ไม่มีใครคัดค้านได้ ไม่เหมือนกฎหมายนิรโทษกรรมที่สังคมไทยกำลังต่อต้านอยู่ในขณะนี้ (พ.ย พ.ศ. ๒๕๕๖) ในท่ามกลางความแน่นอนนี้ก็ยังมีความไม่แน่นอนแฝงอยู่อีก  คือโดยปกติมนุษย์มีอายุอยู่ได้ ๘๐-๙๐-๑๐๐ ปี ก็ถึงแก่ความตาย  แต่มีอีกหลายชีวิตที่ไม่สามารถดำรงชีวิตให้อยู่ถึงตัวเลขที่กำหนดนี้ได้  สาเหตุเพราะประสบกับกฎแห่งกรรมบ้าง อุบัติเหตุกรรมมาตัดรอนบ้าง หรือไม่ก็เพราะภัยธรรมชาติกวาดล้างบ้าง เป็นต้น
         เพื่อความกระชับแน่นแห่งเนื้อหาและมีความสมบูรณ์ทั้ง    อรรถะ พยัญชนะ ข้าพเจ้าขอยกกรณีตัวอย่างมาประกอบการเขียน  ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น กับหญิงสาวที่ชื่อ

ที่มา : WWW.Blogger.Com
นางสาวนันทพร ศิลาอ่อน หรือน้องแป้ง  นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ ๓ ครอบครัวของน้องแป้งมีด้วยกัน ๔ ชีวิต คุณพ่อมีอาชีพรับราชการครู เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนประถม คุณแม่เป็นแม่บ้าน และพี่ชายหลังจากเรียนจบได้ทำงานที่กรุงเทพฯ ครอบครัวของน้องแป้งเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีความน่ารัก อยู่กันพร้อมหน้าพ่อ-แม่-ลูกๆ และมีคุณตากับคุณยายมาอยู่ด้วย รูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัยต่างๆ ของน้องแป้งจะได้เหมือนคุณแม่ กล่าวได้ว่าถอดแบบพิมพ์เดียวกันเลย  เห็นคุณแม่ก็เหมือนเห็นน้องแป้ง  ทุกคนในหมู่บ้านแม้กระทั่งพระสงฆ์ในวัด ต่างก็ชื่นชมน้องแป้งว่า เป็นเด็กดี มีความประพฤติเรียบร้อย มีนิสัยชอบเข้าวัดทำบุญให้ทานอยู่เป็นประจำ ทุกวันพระน้องแป้งจะพาคุณยายไปทำบุญที่วัดเสมอๆ (จากคำบอกเล่า)


ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
        โอ้  อนิจจา  ลมหายใจของหญิงสาวผู้ใจบุญชั่งหมดเร็วเหลือเกิน  ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตประมาณหนึ่งอาทิตย์  น้องแป้งได้มาช่วยงานศพพี่สาว ซึ่งมีบ้านอยู่ตรงข้ามกัน (ทิศตะวันตก-ตะวันออกถนน) วันแต่งงานของพี่สาวคือวันประชุมเพลิงพี่สาว (วันแต่งกับวันเผาเป็นวันเดียวกัน) เนื่องจากประสบอุบัติเหตุถูกรถไฟชนรถยนต์ที่นั่งมากับแฟนหนุ่มจากไปลองชุดเจ้าสาวและไปบอกญาติๆ ที่ต่างอำเภอ รถกระเด็นตกข้างทางผู้หญิงตายคาที่ส่วนแฟนหนุ่มไม่เป็นอะไรมากนัก  เมื่อบำเพ็ญกุศลอุทิศให้กับพี่สาวซึ่งเป็นญาติๆ กันเสร็จแล้ว  น้องแป้งได้กลับไปเรียนหนังสือตามปรกติได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์  ทางบ้านได้โอนเงินเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปให้  เมื่อเลิกเรียนก็ได้นั่งรถมอเตอร์ไซต์ไปถอนเงินที่ตู้ ATM ขณะที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา  แต่แล้วอนิจจังระหว่างทางที่รถกำลังแล่นไปนั้น  กระโปรงที่เธอนุ่งซึ่งมีชายกระโปรงที่ยาว  ได้เข้าไปพันกับล้อรถจักรยานยนต์ล้มลงทันที ขณะเดียวกันได้มีรถหกล้อบรรทุกรถเกี่ยวข้าวซึ่งวิ่งมาตามหลังมาด้วยความเร็ว พุ่งชนเข้าอย่างจัง น้องแป้งสิ้นลมหายใจทันที  เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจากรถล้มและรถชน (ถลอกปอกเปิดเต็มไปหมด) เมื่อทางบ้านได้ทราบข่าวการจากไปของลูกสาวอันเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อ-แม่-พี่ ทุกอย่างเหมือนถูกไฟช็อต มีอาการตกตลึงกับข่าวที่เกิดขึ้น  ความโศกพึ่งจางหายไปก็กลับทวีความเศร้าอีกครั้ง  บวกกับช่วงเวลานั้น กระแสการตายโหงกำลังมาแรง  ทุกคนมองว่าคนที่ตายก่อนมาเอาดวงวิญญาณไป  สร้างความกลัวให้กับพ่อ-แม่เด็กวัยรุ่นในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก

ที่มา : WWW.Blogger.Com


         ก่อนนำส่งร่างอันไร้วิญญาณของน้องแป้งไปสลายที่เมรุสถานนั้น  ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปแสดงธรรมสังเวช ๑ กัณฑ์ จึงถือโอกาสนี้พูดธรรมะให้ญาติโยม คณะเจ้าภาพ และผู้มีเกียรติทั้งหลายได้ฟัง  ได้ยกเหตุการณ์ครั้งที่เกิดเหตุการณ์ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในสมัยพุทธกาล  พระพุทธเจ้าทรงให้พระอานนท์พุทธอนุชาทำน้ำมนต์สวดบท “รตนปริตต์” พร้อมกับพรมน้ำมนต์ไปยังที่ต่างๆ และขอให้ผู้คนถือไตรสรณคมณ์ สมาทานศีล ๕,๘ ให้เคร่งครัด เหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มสงบและเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ ดิน ฟ้า อากาศ ปกติไม่พิโรธ  การบรรยายธรรมในครั้งนี้จะได้ผลหรือไม่    ไม่สามารถคาดการณ์ได้มากนัก  แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้  ส่งผลให้ผู้คนในชุมชนบ้านโดน อำเภอสนม เข้าวัดไปเจริญพุทธมนต์ นั่งภาวนาแผ่เมตตาตลอดทุกวัน  ตั้งแต่มีเหตุการณ์นี้ขึ้น  จำนวนญาติโยมที่ไปสวดมนต์เย็นที่วัดประมาณ ๕๐ คน เหตุการณ์ที่ยกมากล่าวนี้สามารถสอนเราได้ตลอดเวลาว่า “อย่าประมาท” ในชีวิตจริงไม่มีคำว่า เด็ก-คนแก่-คนยาก-คนจน-คนโง่-คนฉลาดหรอก ทุกชีวิตอาจตายได้ทุกเวลา ทุกนาที  ทางที่ดีที่สุดขอให้ทุกคนได้ฝึกหัดตายเอาไว้บ้าง  ฝึกภาวนาให้จิตใจมั่นคง แล้วชีวิตจะไม่ผิดหวัง
         ในท้ายที่สุดนี้  ขอผลบุญทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากธรรมบรรยายชุดนี้  ข้าพเจ้าขออุทิศให้กับนางสาวนันทพร ศิลาอ่อน (น้องแป้ง) ได้มีทิพยสมบัติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า  มีบุญนำพาดวงจิตให้พบความสุขสมหวัง ตลอดกาลนานในสัมปรายภพโน้น เทอญ.

หมายเหตุ
       ๑.  ขอบคุณครองครัวศิลาอ่อนที่ได้นิมนต์ให้ไปบรรยายธรรมสังเวชในวันฌาปนกิจสรีระสังขารน้องแป้ง
       ๒.  รูปน้องแป้งที่ใช้ประกอบการเขียนได้จาก Blogger ของน้องแป้ง ที่เธอเขียนไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่