กฏของไตรลักษณ์
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “กฏสามัญญลัษณะ”
คือลักษณะที่ปรากฏขึ้นตามธรรมชาติของมัน มี ๓ ลักษณะ ดังนี้
๑. สภาวะที่ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้
หรือนอกโลกนี้ มีสภาวะที่ไม่แน่นอน ไม่เที่ยงแท้ เรียกสภาวะที่เกิดขึ้นนั้นว่า อนิจจัง
๒. สภาวะที่มีลักษณะปรากฏกับทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น มีอาการแก่ เจ็บ
และตายไปในที่สุด ซึ่งไม่สามารถทนอยู่ได้นาน เรียกสภาวะที่เกิดขึ้นนั้นว่า ทุกขัง
๓. สะสาร หรือทุกมูลสภาวะที่เกิดขึ้น
มีลักษณะไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา เรียกสภาวะที่ปรากฏนั้นว่า อนัตตา
รูป-นาม
ที่ปรากฏขึ้นจะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติทั้ง ๓ อย่างนั้น ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงไปได้สักราย ความจริงตรงนี้เปรียบเสมือนกิริยาการกินข้าวของมนุษย์เรา คือ ตั้งแต่แรกเกิดมาทุกคนจะต้องกินข้าว
จะกินได้มากได้น้อยนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกาย เมื่อกินเสร็จแล้วสารอาหารต่างๆ
ตามหลักโภชนาหารก็ย่อมส่งผลต่อร่างกายของคนเราให้มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามหลักสรีระศาสตร์
ขั้นสุดท้ายอาหารที่กินเข้าไปก็ตองมีการขับถ่ายออกมาเป็นมูลในที่สุด เรียกกลไกนี้ว่า “ห่วงโซ่แห่งการมีชีวิต”
จะมีการสืบทอดไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น
ประเด็นที่หยิบยกขึ้นเป็นหัวข้อเรื่องว่า
“ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน” ผู้เขียนต้องการสื่อถึง “การเกิด-ตาย”
ของมนุษย์ที่เกิดมา ที่พร้อมไปด้วยสติปัญญา อวัยวะน้อยใหญ่
และทักษะความสามารถที่เรียนรู้ได้หลังจากเจริญเติบโตแล้ว
ความไม่แน่นอน
หมายถึง วิถีแห่งการเกิดมาเป็นมนุษย์ของคนเรานั้นมันยาก เพราะเบื้องต้นคนๆ
นั้นจะต้องมีศีลที่บริสุทธิ์พอมั่นใจได้ว่าหลังจากที่ตนตายไปแล้วจะต้องได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกอย่างแน่นอน
ทุกดวงจิตเมื่อมีการจุติแล้วไปปฏิสนธิที่แตกต่างกัน บ้างก็มาจากเทวโลก (สวรรค์)
บ้างก็มาจากอบายภูมิ (นรก-เปรต-เดรัจฉาน-อสูรกาย) บ้างก็มาจากพรหมโลก
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเป็นหลัก
การจะไปข้างหน้าเราสามารถกำหนดได้
แต่เมื่อมาเกิดแล้วเรากำหนดให้เป็นไม่ได้ (ต้องยอมรับกรรม)
ความแน่นอน
หมายถึง กิริยาของพญามัจจุราช คือความตาย
ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่มีความเที่ยงตรงที่สุด ไม่มีใครคัดค้านได้
ไม่เหมือนกฎหมายนิรโทษกรรมที่สังคมไทยกำลังต่อต้านอยู่ในขณะนี้ (พ.ย พ.ศ. ๒๕๕๖)
ในท่ามกลางความแน่นอนนี้ก็ยังมีความไม่แน่นอนแฝงอยู่อีก คือโดยปกติมนุษย์มีอายุอยู่ได้ ๘๐-๙๐-๑๐๐ ปี
ก็ถึงแก่ความตาย
แต่มีอีกหลายชีวิตที่ไม่สามารถดำรงชีวิตให้อยู่ถึงตัวเลขที่กำหนดนี้ได้ สาเหตุเพราะประสบกับกฎแห่งกรรมบ้าง
อุบัติเหตุกรรมมาตัดรอนบ้าง หรือไม่ก็เพราะภัยธรรมชาติกวาดล้างบ้าง เป็นต้น
นางสาวนันทพร ศิลาอ่อน
หรือน้องแป้ง นิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ ๓
ครอบครัวของน้องแป้งมีด้วยกัน ๔ ชีวิต คุณพ่อมีอาชีพรับราชการครู
เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนประถม คุณแม่เป็นแม่บ้าน
และพี่ชายหลังจากเรียนจบได้ทำงานที่กรุงเทพฯ
ครอบครัวของน้องแป้งเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีความน่ารัก
อยู่กันพร้อมหน้าพ่อ-แม่-ลูกๆ และมีคุณตากับคุณยายมาอยู่ด้วย
รูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัยต่างๆ ของน้องแป้งจะได้เหมือนคุณแม่
กล่าวได้ว่าถอดแบบพิมพ์เดียวกันเลย
เห็นคุณแม่ก็เหมือนเห็นน้องแป้ง
ทุกคนในหมู่บ้านแม้กระทั่งพระสงฆ์ในวัด ต่างก็ชื่นชมน้องแป้งว่า เป็นเด็กดี
มีความประพฤติเรียบร้อย มีนิสัยชอบเข้าวัดทำบุญให้ทานอยู่เป็นประจำ
ทุกวันพระน้องแป้งจะพาคุณยายไปทำบุญที่วัดเสมอๆ (จากคำบอกเล่า)
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
โอ้ อนิจจา
ลมหายใจของหญิงสาวผู้ใจบุญชั่งหมดเร็วเหลือเกิน ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตประมาณหนึ่งอาทิตย์ น้องแป้งได้มาช่วยงานศพพี่สาว
ซึ่งมีบ้านอยู่ตรงข้ามกัน (ทิศตะวันตก-ตะวันออกถนน)
วันแต่งงานของพี่สาวคือวันประชุมเพลิงพี่สาว (วันแต่งกับวันเผาเป็นวันเดียวกัน)
เนื่องจากประสบอุบัติเหตุถูกรถไฟชนรถยนต์ที่นั่งมากับแฟนหนุ่มจากไปลองชุดเจ้าสาวและไปบอกญาติๆ
ที่ต่างอำเภอ
รถกระเด็นตกข้างทางผู้หญิงตายคาที่ส่วนแฟนหนุ่มไม่เป็นอะไรมากนัก เมื่อบำเพ็ญกุศลอุทิศให้กับพี่สาวซึ่งเป็นญาติๆ
กันเสร็จแล้ว
น้องแป้งได้กลับไปเรียนหนังสือตามปรกติได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ทางบ้านได้โอนเงินเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปให้ เมื่อเลิกเรียนก็ได้นั่งรถมอเตอร์ไซต์ไปถอนเงินที่ตู้
ATM
ขณะที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา
แต่แล้วอนิจจังระหว่างทางที่รถกำลังแล่นไปนั้น กระโปรงที่เธอนุ่งซึ่งมีชายกระโปรงที่ยาว ได้เข้าไปพันกับล้อรถจักรยานยนต์ล้มลงทันที
ขณะเดียวกันได้มีรถหกล้อบรรทุกรถเกี่ยวข้าวซึ่งวิ่งมาตามหลังมาด้วยความเร็ว
พุ่งชนเข้าอย่างจัง น้องแป้งสิ้นลมหายใจทันที
เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจากรถล้มและรถชน (ถลอกปอกเปิดเต็มไปหมด)
เมื่อทางบ้านได้ทราบข่าวการจากไปของลูกสาวอันเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อ-แม่-พี่
ทุกอย่างเหมือนถูกไฟช็อต มีอาการตกตลึงกับข่าวที่เกิดขึ้น
ความโศกพึ่งจางหายไปก็กลับทวีความเศร้าอีกครั้ง บวกกับช่วงเวลานั้น กระแสการตายโหงกำลังมาแรง ทุกคนมองว่าคนที่ตายก่อนมาเอาดวงวิญญาณไป
สร้างความกลัวให้กับพ่อ-แม่เด็กวัยรุ่นในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก
ก่อนนำส่งร่างอันไร้วิญญาณของน้องแป้งไปสลายที่เมรุสถานนั้น ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปแสดงธรรมสังเวช ๑ กัณฑ์
จึงถือโอกาสนี้พูดธรรมะให้ญาติโยม คณะเจ้าภาพ และผู้มีเกียรติทั้งหลายได้ฟัง
ได้ยกเหตุการณ์ครั้งที่เกิดเหตุการณ์ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในสมัยพุทธกาล
พระพุทธเจ้าทรงให้พระอานนท์พุทธอนุชาทำน้ำมนต์สวดบท “รตนปริตต์”
พร้อมกับพรมน้ำมนต์ไปยังที่ต่างๆ และขอให้ผู้คนถือไตรสรณคมณ์ สมาทานศีล ๕,๘
ให้เคร่งครัด เหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มสงบและเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ ดิน ฟ้า อากาศ
ปกติไม่พิโรธ
การบรรยายธรรมในครั้งนี้จะได้ผลหรือไม่ ไม่สามารถคาดการณ์ได้มากนัก แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ผู้คนในชุมชนบ้านโดน อำเภอสนม
เข้าวัดไปเจริญพุทธมนต์ นั่งภาวนาแผ่เมตตาตลอดทุกวัน ตั้งแต่มีเหตุการณ์นี้ขึ้น จำนวนญาติโยมที่ไปสวดมนต์เย็นที่วัดประมาณ ๕๐
คน เหตุการณ์ที่ยกมากล่าวนี้สามารถสอนเราได้ตลอดเวลาว่า
“อย่าประมาท” ในชีวิตจริงไม่มีคำว่า เด็ก-คนแก่-คนยาก-คนจน-คนโง่-คนฉลาดหรอก
ทุกชีวิตอาจตายได้ทุกเวลา ทุกนาที
ทางที่ดีที่สุดขอให้ทุกคนได้ฝึกหัดตายเอาไว้บ้าง ฝึกภาวนาให้จิตใจมั่นคง แล้วชีวิตจะไม่ผิดหวัง
ในท้ายที่สุดนี้
ขอผลบุญทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากธรรมบรรยายชุดนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้กับนางสาวนันทพร ศิลาอ่อน
(น้องแป้ง) ได้มีทิพยสมบัติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
มีบุญนำพาดวงจิตให้พบความสุขสมหวัง ตลอดกาลนานในสัมปรายภพโน้น เทอญ.
หมายเหตุ
๑. ขอบคุณครองครัวศิลาอ่อนที่ได้นิมนต์ให้ไปบรรยายธรรมสังเวชในวันฌาปนกิจสรีระสังขารน้องแป้ง
๒. รูปน้องแป้งที่ใช้ประกอบการเขียนได้จาก
Blogger ของน้องแป้ง
ที่เธอเขียนไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น